ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

คู่เลิฟตะลอนกิน ... ตะลอนญี่ปุ่น ... บันทึกการเดินทางตอนที่ 1


ไฮ้ ... คนนิจิวะ
เปิดมาก็ทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว เพื่อให้เข้ากับทริปล่าสุดของเรา คู่เลิฟตะลอนญี่ปุ่น ไฮ้

ทริปนี้เป็นการกลับไปญี่ปุ่นอีกครั้งหลังจากไปครั้งแรกเกือบ 10 ปี หลังจากมีเรื่องราวเกิดขึ้นมามากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา และก็พึ่งจะได้กลับไปอีกครั้งรอบนี้นี่เอง

ตอนไปครั้งแรกของเราช่วงนั้นยังต้องขอวีซ่าอยู่เลย ข้อมูลรีวิวต่างๆ ก็จะไม่เยอะเหมือนตอนนี้ ที่มีข้อมูลรีวิวให้ค้นหากันเยอะมากๆ เรียกได้ว่าไปกลับมาแล้วยังเหมือนว่าไปไม่ถึง เพราะมาเจอรีวิวใหม่ๆ เอ๊ะ ทำไมเราพลาด ร้านนี้ ร้านนั้นยังไม่ได้ไปเลย ทำให้มันต้องไปหลายรอบยังไงล่ะ ประเทศนี้น่ะ ที่เรียกว่า ญี่ปุ่น ...

คู่เลิฟพร้อมแล้วจ้า
ทริปนี้ตั้งใจจะเขียนไว้เหมือนเป็นบันทึกการเดินทางไว้ อาจจะไม่มีรายละเอียดหรือรีวิวมากมายอะไรนะครับ ยังไงก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ถือว่าอ่านเรื่องเล่าระหว่างเดินทางไปพลางๆ ก็แล้วกันนะครับ ..

แก๊งค์สามช่าแห่ง #เหล้าบ๊วยท่องโลก

ทริปนี้เราไปกันเป็นแก๊งค์ในชือแก๊งค์ #เหล้าบ๊วยท่องโลก เดินทางวันแรกไปกัน 3 คนก่อน ที่เหลือจะตามมาสมทบอีกวันนึง

ช่วงที่เราไปเยือนญี่ปุ่นรอบนี้คือช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ไม่ได้มีเทศกาลอะไร ใบไม้เปลี่ยนสีไปแล้ว ซากุระก็ยังไม่บาน มีแต่ความหนาวเย็น และหิมะเท่านั้น 555

วันแรกเราแก๊งค์ 3 ช่า ออกตะลุยกันก่อน วางแผนมาอย่างดิบดี เตรียมรับมือกับความหนาวเย็นมาระดับหนึ่ง เพราะคิดว่าอยู่แต่ในเมือง ดูพยากรณ์มาแล้วว่าจะมีฝนตกช่วงบ่ายๆ ในโตเกียว ก็แอบเซ็งเล็กน้อย แต่ก็เอาวะถ้าตกจะได้ไปเดินในห้างหรือที่เดินที่มีหลังคาเอาแทน แต่พอเครื่องลงก็เห็นฟ้ามืดมาแต่ไกล และมีฝนตกตั้งแต่ลงสนามบินเลยจ้า ซึ่งตอนนั้นกำลังคิดว่าความหนาวด้านนอกมันจะขนาดไหน หุๆ

แพลนของเราช่วงเช้าจะไปเดินเล่นย่าน Asakusa เลยไป SkyTree กลับมา Ueno และ Yanaka-Ginza   ช่วงบ่ายๆ จะไปเช็คอินเข้าที่พักย่าน Shinjuku ที่จองไว้จาก Airbnb และจะออกไปเดินย่าน Kichijoji และกลับมา Shinjuku และเข้าที่พัก วางแผนไว้คร่าวๆ ประมาณนี้ครับ

หลังจากลงเครื่องเราก็เดินชิลๆ มาที่ ตม. มาถึงคิวยาวมากกก ใช้เวลาพอสมควรทีเดียว แต่ก็มีเจ้าหน้าที่มาคอยจัดคิวจัดแถวเพื่อให้เร็วที่สุด อันนี้สังเกตุ จะมีเจ้าหน้าที่แนะนำเรื่องการกรอกใบขาเข้าด้วย และเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องแถวจัดแถวซึ่งจะเป็นคนที่มีอายุหน่อย น่าสนใจที่สามารถจัดงานที่เหมาะสมกับคนสูงอายุที่ยังคงสามารถทำงานได้ ให้มีอะไรทำ เห็นว่าบ้านเราก็เริ่มมีโครงการแบบนี้แล้ว ก็รอดูผลงานกันครับ

ผ่าน ตม. เสร็จเราก็ลงไปชั้นล่างเพื่อนั่งรถไฟเข้าเมือง เราเลือกใช้บริการของ Keisei SkyLiner จองตั่วออนไลน์มาจากเมืองไทยแบบไปกลับพร้อมกับบัตร 24Hours Pass จะถูกหน่อยและคุ้มดีครับ อีกเหตุที่เลือกเพราะขากลับเราต้องรีบออกจากโตเกียวเช้าหน่อย แล้วรอบเช้าของ SkyLiner รอบแรกยังสามารถไปทันเช็คอินได้ครับ  (การจองตั๋วออนไลน์ไม่ยาก มีคนทำรีวิวไว้เยอะละครับ ลองหาอ่านดูกัน ของผมก็อ่านข้อมูลจากเว็บ D-Plus นี่แหละครับ)

ทีแรกกะจะหาไรกินสักแป๊ปค่อยไปแลกตั๋วรถไฟ ปรากฏว่าเดินไปดูตาราง ตายละเที่ยวถัดไปอีก 15 นาที ไม่งั้นต้องรออีกหนึ่งชั่วโมง รีบเลยทีนี้ ต้องรีบไปแลกตั๋วที่เคาท์เตอร์ของ Keisei (หารีวิวอ่านได้) เสร็จแล้วก็รีบแยกย้ายไปซื้อของกินจากเซเว่น เพื่อขึ้นไปกินบนรถไฟ รูปเริปไม่ต้องถ่ายกันพอดี 55

ได้ขึ้นรถไฟละ สบายใจ บนรถอุ่นมากครับ 55
ขึ้นรถแล้วก็หม่ำกันได้เลย
เมนูนี้เกือบดีละครับ หมูทอดดูร่วนๆ แป้งๆ ไปนิด

ปังเมล่อน จากแฟมิลี่ พอได้ๆ 

กาแฟร้อน สังเกตแก้วจะดีไซน์ผิวขรุขระ เพื่อให้ไม่ลื่นหลุดมือได้ง่าย และไม่ร้อนครับ ง่ายๆ เค้าคิดได้แต่เรายัง 55
นั่งรถประมาณ 40 กว่านาทีก็ถึงสถานี Ueno ครับ สบายๆ ทำเวลาได้ดี ข้อสังเกตุ ตั้งแต่ลงเครื่องจนมาขึ้นรถไฟ เรายังไม่เจอสภาพอากาศด้านนอกจริงๆ เลย ยังไม่รับรู้ว่าภายนอกนั้นมันหนาวขนาดไหน ฮึๆ

หลังจากลงสุดสายที่สถานี Ueno ซึ่งเป็นสถานีของ Keisei และเดินพอสมควรถ้าจะไปที่สถานี Ueno ของ JR Yamanote Line แต่มีทางเดินใต้ดินที่สามารถเดินถึงกันได้ครับ

เราจะไปฝากกระเป๋าไว้ที่ Locker ตรงนี้ขอให้สังเกตนิดนึงนะครับ การจะฝาก Locker ในสถานีต่างๆ
ถ้าเราจะฝาก Locker แบบหยอดเหรียญ อย่าลืมเตรียมเหรียญไปนะครับ และที่สำคัญ เหรียญ 100 เยนยิ่งดีครับ ไม่งั้นต้องไปหาตู้แลก ลำบากเลย
แต่ถ้าตู้ Locker ที่ใช้พวกการ์ดต่างๆ ก็ไม่ต้องเตรียมเหรียญแต่ต้องเติมเงินไว้ก่อน และต้องหาแผนผังของสถานีว่าจะหาตู้แบบนี้ได้มุมไหน ซึ่งจุดนี้เราเสียเวลาไปพอสมควรเลย กว่าจะหา Locker เจอเพราะเป็นสถานีใหญ่ เหอๆ

หลังจากฝากกระเป๋าไว้กับ Locker แล้ว ก็นั่งรถไฟใต้ดินใช้บัตร 24Hours Pass เลย เริ่มใช้เวลาไหนหมดเวลานับไปอีก 24 ชั่วโมงถัดไปครับ ถือว่าคุ้มมาก

เรานั่งรถไฟใต้ดินไปยัง Asakusa กันเลยครับ


ที่สถานีมีจัดพื้นที่เล็กๆ แสดงเกี้ยวที่ใช้ในงานของย่านนี้ด้วยครับ สวยงามมาก

หลังจากออกจากรถไฟใต้ดินขึ้นมาด้านบนเท่านั้นแหละครับ ความหนาวที่แท้จริงเริ่มทะลุทะลวงทุกสิ่งเข้ามา บรึ้ย ไม่ไหว เราเลยไปตั้งหลักที่ Asakusa Culture Tourist Information Center กันก่อน ที่นี่เป็นอาคารสูง 8 ชั้น ด้านบนจะสามารถขึ้นลิฟท์ไปชมวิวได้ฟรี มีพื้นที่ฟรี กับพื้นที่เป็นร้านคาเฟ่ ที่ต้องสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มคนละ 1 อย่างถึงนั่งในร้านได้


มุมมองจากชั้น 8 ของอาคาร Tourist Information Center จะสามารถมองเห็นรอบๆ บริเวณนี้เลย รวมไปถึง Sky Tree ด้วย แต่อย่างที่เห็นครับ วันนี้อากาศปิด ขนาดยอดของ Sky Tree ยังมองไม่เห็นเลย แสดงว่าวันนี้เราคงต้องพลาดไปอย่างหนึ่งละครับ

ถ่ายด้านนอกไม่เห็นไรเลย เอามุมในอาคารละกันนะ
ด้านบนนี้ มีคาเฟ่ เล็กๆ อยู่ พักหนาวมาหาความอบอุ่นกันสักแป๊ป

สั่งคนละ 1 อย่างก็ได้ชมวิวละครับ นั่งอุ่นๆ จิบชาพร้อมขนมเบาๆ เพื่อคลายความหนาว 
มุมนี้ถ่ายจากร้านบนชั้น 8 นี่แหละครับ จะมองเห็นถนน Nakmise Dori และวัดเซนโซจิ ครับ


หลังจากพักเอาไออุ่นสักพัก ก็ลงไปเดินต่อครับ เป้าหมายคือเข้าไปไหว้พระที่วัดเซนโซจิ กัน

เริ่มจากโคมใหญ่ต้นถนน Nakamise Dori กันก่อน
สักพัก ฝนก็ตกลงมา ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อย หาร้านกินมื้อกลางวันกันก่อนละกัน 55 ซื้อร่มซื้อไรให้เรียบร้อยเพื่อจะได้เดินต่อไปได้สะดวกหน่อย ที่สำคัญถุงทรายร้อน อุปกรณ์ยังชีพที่ต้องการมากเวลานี้ 555 หนาวมาก หนาวจนมือแข็งขนาดใส่ถุงมือ ยิ่งมีฝนยิ่งหนาวเป็นเท่าตัวเลยครับ ไม่มีรูปบรรยายความหนาว ณ เวลานี้ 55


เดินหาไป หามา เจอร้านนี้ก็กินล่ะครับ ดูเข้าท่าดี

หน้าร้าน เจ้าของร้านออกมาต้อนรับอย่างดี
ความพิเศษของร้านนี้คือ มีเมนูภาษาไทยด้วยครับ 55 คือ พนักงานต้อนรับจะถามก่อนว่ามาจากไหน ถ้ามาจากประเทศที่เค้ามีเมนูที่เป็นภาษานั้นเค้าจะหยิบมาให้เราดูครับ มีเกาหลี มีอังกฤษด้วย ดีจุง


เมนูนี้พิเศษตรงไข่ จะเป็นไข่แดงแฝดจากจังหวัดไรไม่รู้ครับ แต่จะไข่แดงจะเป็นแบบนี้ทุกฟอง หุๆ



หนาวๆ ได้ราเมนร้อนๆ สะใจมาก

เจ้าของร้านใจดีมาก ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย
ผมลงรายละเอียดไว้ที่เพจแล้วนะครับ ลองคลิกไปอ่านกันดู ร้านราเมน

กินอิ่มแล้ว อบอุ่นแล้วก็เดินเล่นเก็บบรรยากาศแถวๆ วัดหน่อย ท่ามกลางสายฝนนิดๆ หน่อย หุๆ

ข้างๆ ร้านราเมน จะมีรูปปั้นนี้อยู่ ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับงานประเพณีของย่านนี้หรือเปล่านะครับ
ได้มาถึงหน้าวัดซะที ถ่ายรูปกับสัญลักษณ์ประจำวัดนี้กันหน่อย ด้านในวัดคนเยอะมาก ฝนก็ปรอย เลยไหว้พระจากตรงนี้ละกันนะครับ

อีกมุมห่างๆ ผู้คนกันหน่อย อิอิ
เดินผ่านร้านขายขนมปังเมล่อน ต้องขอลองสักหน่อย ตรงนี้มีเรื่องเล่า เราเดินผ่านร้านแรกแวะซื้อ เดินเลยมาอีกนิดมีอีกร้านนึง เอ้า ขายเหมือนกันเลย อ่านป้ายยิ่งงง สรุปคืออะไร เหอๆ ตามภาพเลยครับ

ร้านแรก

เอ้า เจอร้านสอง สังเกตคุณลุง

ป้ายร้านที่สอง ของคุณลุงเขียนไว้แบบนี้ 55
 เจอป้ายแบบนี้ นักท่องเที่ยวอย่างเราว่าไงกัน 55

ของร้านคุณลุง

ของร้านแรก
ลองชิมๆ ดู ก็เหมือนร้านคุณลุงจะอร่อยกว่านะครับ ยังไงใครผ่านไปแถวนั้นก็ลองชิมกันดูละกันนะครับ หุๆ ถ้าเป็นบ้านเรา ก็ขายเหมือนๆ กันเต็มไปหมด ไม่รู้ร้านไหนร้านแรกกันเลยทีเดียว นี่ยังดีมีแค่สองร้านเท่านั้น

ก่อนกลับก็เก็บภาพรอบๆ Asakusa กันสักนิด

ภาพนี้ถ่ายจากสะพานแดง Asumabashi วิวบนแม่น้ำสุมิดะ 
ภาพตึกอาซาฮี บนสะพานแดง ฟ้าปิดมากๆ เลยครับวันนี้
หลังจากเดินสักพักก็ทนไม่ไหวกับความหนาวเย็น กลับตอนนี้บ่ายกว่าๆ แล้ว เราเลยตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายไปเดินเล่นในตึกแทน มุ่งหน้าไปย่านที่เป็นเป้าหมายของผมเลยทริปนี้กับ Akihabara .. กันดั้มรอ อยู่ อิอิ

จาก Asakusa ก็นั่งรถไฟใต้ดินไปยัง Akihabara กันครับเปลี่ยนสายที่ Ueno ที่เดิม

มาย่านอากิฮาบาระ ไม่ได้เดินที่ไหนเลย เพราะฝนตกถึงขั้นเป็นเกร็ดน้ำแข็งเกือบจะหิมะอยู่แล้วครับ หนาวมาก ขึ้นรถไฟใต้ดินมาก็มุ่งหน้าชั้น 6 ห้าง Yodobashi เลยครับ ติดสถานีเลยเดินไม่ไกล

เจอเจ้าตัวนี้หน้าร้าน Gundam Cafe 
ชั้น 6 ของห้าง Yodobashi มีของเล่นมากมาย หลายแบบเลยครับ 

ฟิกเกอร์ ก็มีโชว์ในตู้

สินค้าพรีเมี่ยม น่าเก็บ
 โดยเฉพาะสาวก Gunpla Gundam ทั้งหลาย 1 ใน 3 ของชั้น เลยทีเดียว มัวแต่เดินหาของ เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาฝากครับ



ตกใจ เจอกองทัพโคลน 55



ช่วงนี้กองทัพโคลนบุก รีบหนีดีก่า

เนื่องจากฝนตก หนาวมาก จากนี้ก็ผิดแผนตลอดเลยครับ เราตัดสินใจกลับไปเอากระเป๋า เพื่อเข้าที่พักกันก่อน กระเป๋าฝาก Locker ไว้ที่ Ueno แล้วก็นั่งรถไฟไป Shinjuku ทั้งเปียก ทั้งหนาว ลากกระเป๋าไปที่พัก เดินไกลหน่อย เพราะเป็นอพาร์ทเม้นต์ ต้องเงียบ เลยไม่ได้เก็บภาพที่พักมารีวิวเลยครับ เหอๆ

สุดท้ายออกจากที่พักเดินมา Shinjuku ก็ไกลเอาเรื่องอยู่ครับ 1 สถานีรถไฟ เดินเล่นนิดหน่อยก็ไม่ไหว หนาวเหน็บ หาไรร้อนๆ เจอร้านอุด้ง แนวเดียวกับร้าน มารุกาเมะ ที่มีสาขาในไทย ก็เลยจัดก่อนเลย หนาวไม่ไหวละ



อุด้ง ร้านนี้ให้น้ำซุปน้อยไปนิด เลยไม่ได้ซดน้ำซุปร้อนๆ ให้สะใจเลย แต่ก็อร่อยดีนะครับ ร้านแนวนี้มีหลายร้านในญี่ปุ่น รสชาติอาจจะไม่แตกต่างกันมาก เจอที่ไหนเข้าได้เลย ถ้าเอาสะดวกๆ สั่งง่าย

อิ่มแล้วก็เดินเล่นนิดหน่อย เพราะฝนยังตกอยู่ เดินไม่นานก็กลับแล้วครับวันแรกผิดหวังนิดหน่อย เพราะเจอฝนนี่แหละ ฝนไม่เท่าไรแต่มันหนาวนี่สิ เหอๆ

หาไรกินแก้หนาวก่อนนอนดีกว่า หุๆ


Sapporo นี่เมืองไทยแพงเหลือเกิน มาถึงที่ต้องจัดให้คุ้มหน่อย 2 ป๋องก่อน มีรสแปลกให้ลองด้วย Beer Surprise จัดไป


ส่วนของคุณหมวยน้อย จัดนมก่อนนอน แหม่ ฝันดีนะจ๊ะ 55

งั้นก็ขอจบวันแรกไปตรงนี้เลยละกัน ไว้ตอนหน้าจะไปรวมตัวกับเดอะแก๊งค์ แล้วขับรถออกนอกเมืองกันละครับ รอติดตามกันนะครับ สวัสดี ราตรีสวัสดิ์ ....


*****************************************************************************
กินที่เราอยากกิน เที่ยวที่เราอยากไป ขอให้มีความสุขกับทุกทริปกันนะจ๊ะ 
#คู่เลิฟตะลอนกิน
Facebook : คู่เลิฟตะลอนกิน









ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คู่เลิฟตะลอนกินลงใต้ ... ตอนที่ 6 จากเบตง ถึง ปีนัง One Day Trip

สวัสดีจ้า ... ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายของทริปนี้ เราจะไปชมเมืองปีนัง ประเทศมาเลเซียกัน โดยขับรถไปจากเบตง ไม่ใกล้ไม่ไกล เหมือนขับรถไปเที่ยวพัทยานี่เองจ้า ... ออกเดินทางจากเบตงแต่เช้าตรู่ ถนนหนทางยังว่าง สังเกตุเมืองบนเขายามเช้าจะมีหมอกบางๆ พอให้หนาวเย็นกันอยู่ อิอิ ที่ด่านศุลกากร คนยังน้อยเลยครับ สาเหตุที่ออกเช้าจะได้ไม่ต้องต่อคิวนาน ขับรถผ่านด่านมาสักพัก ก็เจอป้ายแล้ว เป้าหมายเราคือ Butterworth 104 กิโลเมตร เอง จิ๊บๆ ถนนหนทาง ก็พอๆ กับบ้านเราครับ วิวสวยงาม ทางลงเขาเหมือนกัน ทางลงจะวิ่งเลนเดียว ทางขึ้นมี 2 เลน เผื่อให้รถช้าขับชิดซ้าย วิ่งทางด่วนบูรพาวิถี 55 ไม่ใช่ละ ทางด่วนมีช่องจ่ายเงินหลายบัตรนะครับ แล้วแต่ใครจะมีแบบไหน ของเราก็ ทัชแอนโก คือ ต้องเอาบัตรไปแตะๆ ถึงเปิดได้ ส่วน สมาร์ทแท๊ก นั้น เหมือน อีซี่พาส บ้านเราครับ การข้ามไปเกาะปีนัง มี 2 แบบครับ 1 คือข้ามสะพาน 2 คือ นั่งเรือเฟอรรี่ ซึ่งผมเคยไปมาแล้วด้วยเรือเฟอรรี่ มันก็ดีนะครับ ไม่ต้องลงรถ ขับรถไปจอดใต้เรือ เรือข้ามถึงฝั่งก็ลง แต่เรือเค้าใหญ่มากนะครับ พอดีไม่มีรูป คราวนี้ก็ขับรถข้ามสะพานไป มันเร็วกว่

อาหารเช้า ไต้หวันสไตล์

การเที่ยวที่มีความสุขอีกอย่างหนึ่งคือ การได้ลิ้มลองของอร่อยประจำแหล่งนั้นๆ อาจจะขึ้นชื่อไม่ขึ้นชื่อ เจ้าดังหรือไม่ดัง อร่อย ถูกปากเราหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าไหนๆ ไปแล้วก็คงต้องลองสักครั้งเพื่อให้รู้ว่าเค้ากินอะไรกัน รสชาติเป็นอย่างไร จริงหรือไม่ครับ ครั้งนี้เราไปไต้หวัน ก็มีโอกาสได้ลิ้มลองอาหารพื้นเมืองของคนไต้หวันมาบ้างพอสมควร ในบล็อกนี้จะรวบรวมอาหารเช้าที่เราได้มีโอกาสชิมรสมาแล้ว บางอย่างก็รสชาติใช้ได้ บางอย่างก็อาจจะจืดไปกับปากอย่างคนไทย อิอิ แต่โดยรวมเราถือว่ากินอยู่ที่นี่ได้แน่นอน ไม่อดตายแน่ๆ ครับ ลองไปดูกัน ร้านแรกอยู่ย่าน Ximen อยู่ด้านซ้ายมือถ้าเราห้นหน้าเข้าตึกแดง เดินมาทางซ้ายผ่านสถานีตำรวจมาครับ ร้านแรก จะเป็นสไตล์อเมริกันหน่อยครับ มีเบอร์เกอร์ แซนวิส กาแฟ ครับ  ขนมปังอร่อย ผักสด ส่วนเนื้อรสชาติจะอ่อนหน่อยนะครับ ร้านที่สอง อยู่ Ximen เหมือนกันครับ อยู่หลังตึกแดงฝั่งตรงข้ามครับ อีกร้านเป็นร้านสไตล์ไต้หวันครับ เป็นร้านบะหมี่ แล้วก็มีให้เลือกเครื่องเคียง หรือจะเป็นบะหมี่เกี๊ยว เนื้อเอ็น ครับ หน้าร้านจะมีหม้อตุ๋น หม้อลวกเส้น และเครื่องอื่นๆ ครับ

คู่เลิฟตะลอนกินลงใต้ ... ตอนที่ 3 ยะลา เมืองน่าเที่ยวนิ ร้านเด็ดธารา และเส้นทางไปเบตง

สวัสดีจ้า ... ตอนที่ 3 แล้ว กับการตะลอนลงใต้ของเรา เป้าหมาย เบตง ... บ้านอาหมวยของเรา ต่อจากตอนที่แล้วที่เราอิ่มอร่อยมื้อเช้ากับติ่มซำ อาม่า กันแล้ว เราก็ออกเดินทางจากหาดใหญ่มุ่งหน้าไป จ.ยะลา เราจะแวะตัวเมืองกันก่อน เพราะมีนัดกับเจ้าถิ่นที่นั่นครับ เส้นทางจากหาดใหญ่ ไปยะลานั้นถนนกว้างฝั่งละ 2 เลน ระหว่างทางรถไม่มาก ขับสบายๆ ทำความเร็วได้ดี ไม่ต้องกลัวโดนโบกความเร็ว 55 วันนี้แดดดีทีเดียวครับ ระหว่างทาง ทางแยก ทางร่วมก็จะมีด่านตรวจเป็นระยะๆ เพื่อความปลอดภัยของเราๆ จริงๆ บนถนนใหญ่ไม่มีอะไรมากครับ สบายๆ ถึงแว้ว ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ หรือเปล่า 55 ก็ถึงแล้วครับ ยะลา เมืองน่าเที่ยว ป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 3 ที่ เราไปหมดครับ เพราะยังไงก็ผ่าน อิอิ มาถึงเจ้าถิ่นก็พาเราขับรถชมเมืองกันก่อนเลย ถนนหนทาง ผู้คนก็ใช้ชีวิตปกติครับ วันนี้โรงเรียนไม่ปิด มีนักเรียน นักศึกษามาเรียนปกติ ข้างหน้า มีรถทหารนำทางเราด้วย 55 จุดศูนย์กลางผังเมือง หอนาฬิกา ครับ สังเกตุแทบจะทุกเมืองที่เราไปจะต้องมีวงเวียนหอนาฬิกา อิอิ ปีนี้ เป็นปี สีสันชายแดนใต้นะครับ ตึกตรงนี้จะทำสีรุ้ง