คู่เลิฟตะลอนกิน กลับมาอีกครั้งกับ เที่ยวไต้หวัน ... วันที่ 2 Pingxi Line, Jiufen Old Street และ Raohe Night Market
สวัสดีจ้า ...
บล็อกนี้เป็นวันที่ 2 ของทริปไต้หวันครั้งที่ 2 ของเรา แผนในวันนี้คือจะออกนอกเมืองกันครับ ที่ที่เราจะไปคือ ทางรถไฟสายผิงซี (Pingxi Line) ต่อด้วย จิ่วเฟิ่น (Jiufen Old Street) สุดท้ายอาจจะได้แวะตลาดกลางคืนที่เมือง จีหลง (Keelung) ครับ ถ้าเป็นไปตามแผนนะ อิอิ
สภาพอากาศวันนี้ แน่นอนครับ ฝนยังคงตกอยู่ มากบ้างน้อยบ้างสลับกันไป เหอๆ รอบนี้ โดนฝนอีกแล้ว
เราออกเดินทางแต่เช้าเพราะไปหลายที่ ต้องใช้เวลาครับ การไป Pingxi Line นั้น ไม่ยาก ไปขึ้นรถไฟ TRA แบบธรรมดาได้ที่สถานี Taipei Main Station ซื้อตั๋วไปลง Ruifang Station ครับ แล้วก็เปลี่ยนขบวนไปสาย Pingxi Line ซึ่งอยู่ในสถานีเดียวกัน เดินออกมาอีกชานชลา แค่นั้นครับ มีป้ายบอก
ใครมาถึงที่ Taipei Main ถ้ายังไม่ได้ทานอะไรก็หาซื้อกันก่อนจองตั๋วได้นะครับ รถค่อนข้างมีเยอะ ถ้าเราไปแบบไม่เลือกที่นั่ง ก็รีบซื้อตั๋วแล้วไปจับจองแถวกันก่อนเลย เราจองตั๋วแล้วดูเวลาอ้าวรถจะมาแล้ว เลยต้อบรีบหาซื้อของกินกัน แต่ไม่ต้องห่วงครับมีร้านขายใกล้ๆ Gate ด้วย เลยได้จัดข้าวกล่องมาด้วย หุๆ หน้าตาน่ากินมากกก
บนรถแบบนี้ ทานอาหารได้นะครับ นักเรียน คนท้องถิ่นก็ทานกันสบายใจ สงสัยจะไปที่เดียวกัน อิอิ
นั่งรถไปเรื่อยๆ เพลินๆ เพราะขบวนนี้เป็นแบบจอดทุกสถานี สถานีไหนต้องหลีกให้พวกรถไฟความเร็วสูงไปก่อนก็จะจอดรอแป๊ปนึง ไม่นานดี รถว่างดีมีที่นั่งไม่แน่น จะแน่นหน่อยตรงก่อนออกจากเมืองแค่นั้นเอง
นั่งรถ ชมวิวข้างทางไปเรื่อยๆ ครับ
ถึงสถานี Ruifang ก็จะต้องเปลี่ยนมาขึ้นรถอีกชานชลาหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนรถไปสาย Pingxi Line ครับ รถไฟสายผิงซีจะเป็นหัวรถเครื่องยนต์ดีเซล (น่าจะนะ) แบบบ้านเรา แต่ตัวรถและภายในตบแต่งให้เข้ากับบรรยากาศรถไฟสายท่องเที่ยวครับ (เป็นอีกเรื่องที่บ้านเราน่าทำมากกกๆๆ)
บรรยากาศบริเวณ สถานี Ruifang ตบแต่งไว้อย่างน่ารักทีเดียว ความถี่ในการออกรถน่าจะทุกๆ 1 ชั่วโมงหรือเปล่า เพราะถ้าลงสถานีไหน จะต้องรออีก 1 ชั่วโมงเพื่อรอขึ้นรถไฟเพื่อไปต่อครับ
สถานีหลักๆ ที่น่าสนใจและมีคนลงมากๆ มีดังนี้ครับ
Jingtong สถานีไม้เก่าแก่ สุดสาย จะมีบรรยากาศของเหมืองเก่าๆ
Pingxi มีปล่อยโคมลอยฟ้า เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เลียบแม่น้ำจีหลง
Shifen มีร้านเยอะ สถานีใหญ่ มีปล่อยโคมลอยฟ้า มีน้ำตกไนแองการาแห่งไต้หวัน
Houtong หมู่บ้านแมว
ตอนเรานั่งรถมาคนส่วนใหญ่จะลงที่ Shifen Station ครับ เป็นสถานีใหญ่ และมีน้ำตกที่สวยมากๆ ด้วย
แต่เราเลือกนั่งรถไปจนสุดสายก่อนก็คือ สถานี Jingtong Station ครับ ใช้เวลานั่งรถพอสมควรบรรยากาศข้างทางผมว่าพอๆ กับรถไฟสายมรณะ เมืองกาญจน์บ้านเรา คือบางช่วงรถไฟจะวิ่งเลาะแม่น้ำกับหน้าผาเหมือนกัน มีเข้าอุโมงค์ด้วย แต่เราไม่มีโอกาสได้ถ่ายภาพมา เพราะคนค่อนข้างแน่นครับ นักท่องเที่ยวมาเยอะ แล้วก็ได้นั่งมุมไม่ค่อยดีเท่าไร
นั่งมาเรื่อยๆ ก็ถึงแล้วครับ Jingtong Station
รถจะจอดรอที่สถานีนี้สักพัก เพื่อรอเวลาออกครับ แต่ไม่นาน ตัวรถอาจจะดูเก่า แต่ภายนอกและภายใน ทำไว้อย่างดีเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวนะครับ
ที่สถานีนี้จะเป็นบรรยากาศเหมืองเก่า ตามสถานีมีร้านค้าขายของที่ระลึกพอสมควรครับ
ของที่ระลึกรูปโคมไฟ ที่จะมีขายทุกสถานีแน่นอน หุๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมักจะทำเมื่อมาที่นี่ก็คือ เขียนข้อความลงในกระบอกไม้ไผ่ แล้วก็แขวนแบบนี้แหละครับ ไม่แน่ใจว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร รู้แต่ว่ามีเยอะมาก แขวนกันหลายที่เลย มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน จีน ฮ่องกง เกาหลี และแน่นอนไทยก็มีครับ
มีภาษาอะไรบ้างหากันเอาเองนะครับ
ตู้ไปรษณีย์ กับ ตุ๊กตานายสถานี ก็ทำซะน่ารักเลย พบได้ทุกสถานีแน่นอน ผมการันตี อิอิ
สมกันเป็นเมืองแห่งอาร์ต อะไรก็ทำได้น่ารักไปหมด
มีมุมร้านค้าเก่าแก่ ที่ยังคงอนุรักษ์กันอยู่ แต่ก็มีการซ่อมแซมดัดแปลงให้แข็งแรงตามยุคสมัย ซึ่งยังไม่ทิ้งบรรยากาศรูปทรงเก่าๆ อยู่ให้เห็นพอสมควร
นี่ก็เป็นอาคารที่เกี่ยวกับการทำเหมืองเหมือนกันครับ แต่ตอนนี้ด้านบนจะดัดแปลงเป็นร้านค้าแล้วล่ะครับ
ร้านค้าที่นิยมใช้ไม้เลื้อย ก็มี แต่สงสัยอากาศยังหนาวอยู่ มันเลยไม่เขียวเท่าไร หุๆ
สะพานนี้ มีชื่อว่า Lover Bridge แน่นอนครับ ต้องมีคนเอากระบอกไม้ไผ่มาแขวนสองฝั่งราวสะพาน
เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามครับ ขอแขวนเป็นที่ระลึก 1 กระบอก อิอิ เรามาเยือนล่ะนะ
สัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นสถานที่ทำเหมืองมาก่อน
อีกหนึ่งไฮไลท์ของที่สถานีนี้ครับ คือ จอ LED ขนาดใหญ่ที่สถานีตำรวจนี้แหละครับ จะมีการแสดงภาพแสงสีเสียงผ่านจอ LED ยักษ์นี้ ต้องขอย้ำว่าเป็นสถานีตำรวจ 55
เวลาแสดงผมไม่แน่ใจต้องไปดูอีกทีครับ แต่ที่มันสุดยอดคือ การเป็นสถานีตำรวจแต่ก็ยังสามารถใช้โปรโมทท่องเที่ยวได้ด้วย แหม่ ช่างคิดจริงๆ มีห้องน้ำห้องท่าบริการนักท่องเที่ยวด้วยนะครับ ที่นี่ เข้าถึงประชาชนจริงๆ ชอบไอเดียนี้มากๆ ครับ
และแล้วหลังจากเดินมาสักพัก ก็เจอของที่ต้องลองหน่อย ซาลาเปาราดชีส ครับ ข้างในไส้หมูแหละครับ แต่ข้างนอกนี่มันราดชีสมาเลย เหอๆ แปลกตรงชีสนี่แหละครับ ก็อร่อยดี ลองดูได้ครับ
รถมารับแล้ว อิอิ คนละขบวนกับที่มานะครับ ดูจากลายรถ ก็เดินเล่นประมาณชั่วโมงนึง รถก็มาครับ เราก็นั่งรถกลับลงมาไล่ตามสถานี
ขากลับตอนแรกว่าจะแวะที่ Pingxi Station แต่มันมีฝนหน่อยๆ ประกอบกับถ้าลงก็ต้องเดินอีก ชั่วโมงนึง เพื่อรอรถคันถัดไป เราเลยเลือกที่จะไปลงที่ Shifen Station เลยครับ เพราะจะเดินไปดูน้ำตก ไนแองการา แห่งไต้หวันกันหน่อย
สถานีนี้เป็นสถานีใหญ่ครับ อาจจะเพราะมีที่เที่ยวเยอะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาแวะที่นี่กันหมด มีแท๊กซี่มาจอดกันเพียบ ตอนที่ไปก็กำลังปรับปรุง ซ่อมแซมกันอยู่ สงสัยเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวนี่แหละครับ
เจอนายสถานีอีกแล้ว อิอิ มีตู้ไปรษณีย์ด้วย แต่คราวนี้สีแดงแฮะ ที่สำคัญยังคงมีกระบอกไม้ไผ่แขวนอยู่เช่นเดิมครับ
ลงรถไฟมาก็เจอร้านนี้เลย คนต่อคิวยาวมาก สาวๆ ด้วย เลยต้องส่งสาวของเราไปต่อคิวบ้างละ อิอิ เป็นปีกไก่ยัดไส้ครับ แล้วก็มีผงโรยตามสูตร จะเอาแบบไหนเลือกได้ คนไทยก็ต้องขอสไปซี่ ล่ะนะ 55
ที่สถานีนี้ ของกินเพียบครับ หลากหลายมาก ที่ลงมานี่แค่ส่วนหนึ่งนะครับ มีของกิน ของฝาก เยอะทีเดียว
อีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่คือปล่อยโคมครับ ร้านเยอะมาก มีบริการถ่ายรูปให้ด้วย มีพร็อพมีไรเพียบ เลือกได้ตามใจชอบ วันที่เราไป นักท่องเที่ยวเกาหลีเยอะมากครับ สงสัยมากันเป็นกรุ๊ป สาวๆ เพียบ ใครชอบบรรยากาศไปได้นะครับ อิอิ
อีกหนึ่งมุมถ่ายรูป สะพานแขวนข้ามแม่น้ำ ที่ค่อนข้างสูงทีเดียว เป็นสะพานคนเดินครับ อยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟเลย
ฝนตกๆ ก็สู้นะเรา
จากสะพานแขวน เราก็เดินไปอีกหนึ่งไฮไลท์ ของสถานีนี้ นั่นก็คือ น้ำตกไนแองการาไต้หวันครับ หรือ Shifen Waterfall
ต้องขอบอกว่าไม่ได้ใกล้ๆ เลยนะครับ เดินพอสมควรเลย ประมาณกิโลกว่าๆ มั้งครับ เกือบสองกิโล ขึ้นบันไดด้วยอีกต่างหาก ใครที่พาคุณพ่อคุณแม่ที่เดินไม่ค่อยไหว แนะนำให้เรียกแท๊กซี่ได้ครับ รู้สึกจะร้อยกว่าบาท แต่ผมว่ามันคุ้มนะ เดินไม่ไหวแน่ๆ
ถึงแล้วครับ 55 ไม่ใช่ครับ นี่แค่ครึ่งทางเท่านั้น นี่คือน้ำตกระหว่างทาง (ตั้งเอง เหนื่อยละนะ)
เจอสะพานแขวนอีกแล้ว ที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งนี่ ตั้งใจทำมากนะครับ
ขวาสะพานแขวนคนเดิน ซ้ายสะพานรถไฟ ถ้ามีรถไฟวิ่งมานี่จะสวยมากเลยครับ อิอิ (ยังไม่ถึงที่หมาย เดินมาไกลละนะ)
ในที่สุด ก็ถึงจนได้ สวยงามตามท้องเรื่อง สวยมากครับ ต้องไปเห็นด้วยตา บริเวณน้ำตกก็จะมีร้านค้า ร้านอาหารกาแฟ ให้นั่งพักนั่งกินกัน มีห้องน้ำ สะดวกสบาย มีมุมให้ถ่ายภาพด้วย ถ้ามาบรรยากาศดีๆ ฝนไม่ตกเราอาจจะได้ภาพมากกว่านี้นะครับ ไว้โอกาสหน้าค่อยหาเวลามาใหม่
เมื่อจบจากน้ำตก แผนต่อไปคือเราจะนั่งรถไฟกลับไปที่ Ruifang แล้วต่อรถบัสไปยัง Jiufen ครับ แต่ด้วยความที่ฝนตก ประกอบกับเดินมาไกลมาก เริ่มเหนื่อย และพึ่งเห็นรถไฟวิ่งไปสักแปปนึง ต้องรออีกชั่วโมงเหรอเนี่ย เหอๆ เลยตัดสินใจถามราคาแท๊กซี่เลยครับ
คือ แท๊กซี่แถวนั้นเค้ามีป้ายบอกอยู่แล้วนะครับว่าไปไหนราคาเท่าไร แต่ต้องครบคนครับ เราจะไป Jiufen คิดคนละ 250 ต้องครบ 4 คนถึงไป ถ้าไม่ครบก็เหมา 800 มั้งครับถ้าจำไม่ผิด ให้เหมาเราก็ไม่ไป คนขับก็ใจดีวิทยุถามกันว่ามีใครไปอีกมั้ย ขาด 2 คน นั่งรอในรถสักพักหนึ่งก็ได้ผู้โดยสารอีก 2 คนที่สะพานแขวนข้างสถานีรถไฟพอดี เป็นคนฮ่องกง สบายไปเรา
คนขับก็คุยกับคนฮ่องกงไปเพราะพูดจีนได้ ไอ้เราก็นั่งฟังไป 55 คนขับมีเปิดคลิปโปรโมทให้ดูด้วย ว่าเค้าพาไปเที่ยวไหนได้บ้าง โอยย ไฮเทคมากๆ ผิดกับบ้านเราลิปลับ หุๆ
สุดท้ายถึง Jiufen แน่นอนครับ พร้อมสายฝน เซ็งมากก รอบที่แล้วก็ฝน รอบนี้ก็ฝนอีกแว้ว ... เอาวะมาถึงแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไปครับ
มาถึงก็มุ่งหน้าพิกัดนี้ก่อนเลยครับ จากจุดที่แท๊กซี่จอดให้ลงตรงสถานีตำรวจ แล้วก็เดินขึ้นบันไดมาตามทาง เดินขึ้นมาเรื่อยๆ เลยครับ บันไดค่อนข้างชันอยู่ สูงเอาการ ก็จะเจอมุมยอดฮิต ติดอันดับของที่นี่ ร้านน้ำชาร้านนี้แหละครับ
ฝนตกก็สู้นะ พร้อมๆ รอบที่แล้วที่มาไม่ได้มาถ่ายครับ เพราะไม่สะดวกพาคุณแม่ที่เดินไม่สะดวกต้องนั่งรถเข็มมาก็เลยไม่ได้เดินมาจุดนี้กัน คราวนี้ยังไงก็ต้องได้สักภาพแหละ อิอิ
คนมายืนถ่ายภาพกันเยอะมากครับ ขนาดฝนตกๆ ถ่ายภาพเสร็จเราตั้งใจจะเข้าไปหาอะไรกินในร้านโคมแดงนี้สักหน่อย ปรากฎว่าเป็นช่วงพักของร้าน ไม่มีบริการอาหาร มีแต่น้ำชาเท่านั้น ก็เลยมาทานร้านฝั่งตรงข้ามแทน ก็หน้าร้านที่ยืนถ่ายรูปกันนี่แหละครับ
ทีแรกเราจะสั่งอาหารร้านนี้ก็ไม่ยังไม่บริการเหมือนกัน เป็นช่วงพัก มีอีกทีห้าโมงเย็น เหอๆ แต่ยังดียังมีอาหารชุดให้ มีให้เลือก 4 แบบเท่านั้น เวลานี้ได้ทั้งนั้น ขอพักให้หายเปียกและหาไรอุ่นๆ ทานสักหน่อย เลือกมา 1 ชุดได้หน้าตาตามรูปเลยครับ 1 ชุดมีข้าวให้ 1 จาน เราสั่งข้าวเปล่าเพิ่มอีก 1 จาน สั่งกันอยู่พักนึงกว่าจะได้ข้าวเปล่าเพิ่ม 55
สั่งน้ำชาหอมๆ ร้อนๆ มาซดสักกานึง อากาศหนาวมาก ข้างนอกฝนก็ตก เย็นยะเยือกเลยครับ หุๆ
ที่นี่จริงๆ จะบริการชาแบบจัดเต็มด้วยนะครับ มีนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่มๆ มาทานชาแบบเป็นชุดๆ กัน เห็นแล้วอลังการมาก มีชา มีขนมให้ด้วย แต่เรามาน้อยก็คงไม่ไหว หุๆ
อิ่มแล้ว ก็จะได้วิวจากร้านนี้ด้วยนะครับ ร้านมี 3 ชั้น เลยได้มุมสูงมาด้วย ดีจุง
จะเห็นว่ามีแต่หมอกปกคลุมไปทั่วเลย
เมืองในสายหมอกรึเปล่านี่ หุๆ
เดินเล่นตามถนน หาของทานเล่นอีกนิดหน่อยครับ
อากาศหนาวๆ กับเสี่ยวหลงเปาร้อนๆ น่าโดนมากครับ
บัวลอยน้ำขิงร้อนๆ สดชื่น อุ่นท้อง
ขนมเทียน ที่ไส้เยอะมาก แนะนำไส้เค็มนะครับ ใครไม่ชอบผักระวังอย่าเผลอไปชี้ไส้ผักนะครับ ผมว่าไม่ค่อยหรอย อิอิ
ก็เก็บภาพพอหอมปากหอมคอ เพราะคราวที่แล้วมาแล้วรอบนึง ฝนตกด้วย กล้องเปียกหมดแว้ว 55
ขากลับจาก Jiufen ทีแรกกะนั่งรถเข้าไทเปเลย แต่ขอโทษครับ คนแน่น คิวยาวมาก เราก็เลยนั่งรถไปลงที่ จีหลง (Keelung) แทน คนน้อยกว่าเยอะครับ ได้นั่งด้วย สบายเลย รถไม่ค่อยแน่น ใช้อีซี่การ์ดแตะได้สบายมาก รถไปจีหลงมีหลายสายนะครับ ลองอ่านป้ายดู มีภาษาอังกฤษบอก
ถึงเมืองจีหลง กะจะเดินตลาดสักหน่อย ไม่ได้เรื่องละครับ ฝนกระหน่ำมาก เลยนั่งรถกลับไทเปดีกว่า จำได้ว่ารถไฟ TRA จะผ่านสถานี Songshan สายสีเขียว และมีตลาด Raohe Night Market อยู่ รอบที่แล้วกลับจากจิ่วเฟิ่น พี่แท๊กซี่แบบเหมาก็พามาลงที่นี่แหละครับ หาอะไรทานเล่นอีกหน่อยดีกว่า อิอิ
ลองหมูบาร์บีคิว เจ้านี้หน่อย คือดูสีสันมันน่ากินมากนะครับ รสชาติก็ดีนะครับ เสียอย่างเดียวใส่ต้นหอมเป็นไส้เยอะไปหน่อย คือ เคี้ยวต้นหอมเหนื่อยเลย คำหลังๆ เลยไม่กินต้นหอมละ 555
และแล้วเที่ยวนี้ เราก็ได้ลองจนได้ เต้าหู้เหม็น 55 ขอลองสักครั้ง หลังจากผจญกลิ่นมานานละ โอวว ผิดคาดครับพอกินแล้วกลิ่นน้อยลง เจ้านี้ทำดีครับผมว่า รสชาติดีทีเดียว แบบนี้รอบหน้าพอซ้ำได้ครับ อิอิ
อันนี้กินเพราะสงสัย 55 อยากรู้คืออะไร สุดท้ายคือ เหมือนเนื้อไก่ไม่มีกระดูก ปิ้ง แล้วแน่นอน โรยผงๆ เลือกเอาเลยครับมีหลากหลายมาก
ปิดท้ายวันที่ 2 ด้วย สะพาน Lover Bridge ที่ตลาดแห่งนี้ พอดีกล้องแบตหมด ได้ภาพจากมือถือมาแค่นี้แหละครับ มีคู่รักมาเดินเล่นนั่งเล่นริมน้ำพอสมควรครับ แต่ผมว่ามันมืดไปนิดนึง ก็เลยถ่ายภาพลำบาก
จบวันที่ 2 แค่นี้ละครับ บล็อกหน้าก็จะเป็นวันที่ 3 ของทริปนี้แล้วล่ะครับ เราจะไปไหนบ้างติดตามชมกันครับ ...
ขอบคุณมากครับ ที่ติดตามกัน สวัสดีครับ ...
*****************************************************************************
กินที่เราอยากกิน เที่ยวที่เราอยากไป ขอให้มีความสุขกับทุกทริปกันนะจ๊ะ
#คู่เลิฟตะลอนกิน
Facebook : คู่เลิฟตะลอนกิน
บล็อกนี้เป็นวันที่ 2 ของทริปไต้หวันครั้งที่ 2 ของเรา แผนในวันนี้คือจะออกนอกเมืองกันครับ ที่ที่เราจะไปคือ ทางรถไฟสายผิงซี (Pingxi Line) ต่อด้วย จิ่วเฟิ่น (Jiufen Old Street) สุดท้ายอาจจะได้แวะตลาดกลางคืนที่เมือง จีหลง (Keelung) ครับ ถ้าเป็นไปตามแผนนะ อิอิ
สภาพอากาศวันนี้ แน่นอนครับ ฝนยังคงตกอยู่ มากบ้างน้อยบ้างสลับกันไป เหอๆ รอบนี้ โดนฝนอีกแล้ว
เราออกเดินทางแต่เช้าเพราะไปหลายที่ ต้องใช้เวลาครับ การไป Pingxi Line นั้น ไม่ยาก ไปขึ้นรถไฟ TRA แบบธรรมดาได้ที่สถานี Taipei Main Station ซื้อตั๋วไปลง Ruifang Station ครับ แล้วก็เปลี่ยนขบวนไปสาย Pingxi Line ซึ่งอยู่ในสถานีเดียวกัน เดินออกมาอีกชานชลา แค่นั้นครับ มีป้ายบอก
ใครมาถึงที่ Taipei Main ถ้ายังไม่ได้ทานอะไรก็หาซื้อกันก่อนจองตั๋วได้นะครับ รถค่อนข้างมีเยอะ ถ้าเราไปแบบไม่เลือกที่นั่ง ก็รีบซื้อตั๋วแล้วไปจับจองแถวกันก่อนเลย เราจองตั๋วแล้วดูเวลาอ้าวรถจะมาแล้ว เลยต้อบรีบหาซื้อของกินกัน แต่ไม่ต้องห่วงครับมีร้านขายใกล้ๆ Gate ด้วย เลยได้จัดข้าวกล่องมาด้วย หุๆ หน้าตาน่ากินมากกก
บนรถแบบนี้ ทานอาหารได้นะครับ นักเรียน คนท้องถิ่นก็ทานกันสบายใจ สงสัยจะไปที่เดียวกัน อิอิ
นั่งรถไปเรื่อยๆ เพลินๆ เพราะขบวนนี้เป็นแบบจอดทุกสถานี สถานีไหนต้องหลีกให้พวกรถไฟความเร็วสูงไปก่อนก็จะจอดรอแป๊ปนึง ไม่นานดี รถว่างดีมีที่นั่งไม่แน่น จะแน่นหน่อยตรงก่อนออกจากเมืองแค่นั้นเอง
นั่งรถ ชมวิวข้างทางไปเรื่อยๆ ครับ
ถึงสถานี Ruifang ก็จะต้องเปลี่ยนมาขึ้นรถอีกชานชลาหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนรถไปสาย Pingxi Line ครับ รถไฟสายผิงซีจะเป็นหัวรถเครื่องยนต์ดีเซล (น่าจะนะ) แบบบ้านเรา แต่ตัวรถและภายในตบแต่งให้เข้ากับบรรยากาศรถไฟสายท่องเที่ยวครับ (เป็นอีกเรื่องที่บ้านเราน่าทำมากกกๆๆ)
บรรยากาศบริเวณ สถานี Ruifang ตบแต่งไว้อย่างน่ารักทีเดียว ความถี่ในการออกรถน่าจะทุกๆ 1 ชั่วโมงหรือเปล่า เพราะถ้าลงสถานีไหน จะต้องรออีก 1 ชั่วโมงเพื่อรอขึ้นรถไฟเพื่อไปต่อครับ
สถานีหลักๆ ที่น่าสนใจและมีคนลงมากๆ มีดังนี้ครับ
Jingtong สถานีไม้เก่าแก่ สุดสาย จะมีบรรยากาศของเหมืองเก่าๆ
Pingxi มีปล่อยโคมลอยฟ้า เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เลียบแม่น้ำจีหลง
Shifen มีร้านเยอะ สถานีใหญ่ มีปล่อยโคมลอยฟ้า มีน้ำตกไนแองการาแห่งไต้หวัน
Houtong หมู่บ้านแมว
ตอนเรานั่งรถมาคนส่วนใหญ่จะลงที่ Shifen Station ครับ เป็นสถานีใหญ่ และมีน้ำตกที่สวยมากๆ ด้วย
แต่เราเลือกนั่งรถไปจนสุดสายก่อนก็คือ สถานี Jingtong Station ครับ ใช้เวลานั่งรถพอสมควรบรรยากาศข้างทางผมว่าพอๆ กับรถไฟสายมรณะ เมืองกาญจน์บ้านเรา คือบางช่วงรถไฟจะวิ่งเลาะแม่น้ำกับหน้าผาเหมือนกัน มีเข้าอุโมงค์ด้วย แต่เราไม่มีโอกาสได้ถ่ายภาพมา เพราะคนค่อนข้างแน่นครับ นักท่องเที่ยวมาเยอะ แล้วก็ได้นั่งมุมไม่ค่อยดีเท่าไร
นั่งมาเรื่อยๆ ก็ถึงแล้วครับ Jingtong Station
รถจะจอดรอที่สถานีนี้สักพัก เพื่อรอเวลาออกครับ แต่ไม่นาน ตัวรถอาจจะดูเก่า แต่ภายนอกและภายใน ทำไว้อย่างดีเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวนะครับ
ที่สถานีนี้จะเป็นบรรยากาศเหมืองเก่า ตามสถานีมีร้านค้าขายของที่ระลึกพอสมควรครับ
ของที่ระลึกรูปโคมไฟ ที่จะมีขายทุกสถานีแน่นอน หุๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมักจะทำเมื่อมาที่นี่ก็คือ เขียนข้อความลงในกระบอกไม้ไผ่ แล้วก็แขวนแบบนี้แหละครับ ไม่แน่ใจว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร รู้แต่ว่ามีเยอะมาก แขวนกันหลายที่เลย มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน จีน ฮ่องกง เกาหลี และแน่นอนไทยก็มีครับ
มีภาษาอะไรบ้างหากันเอาเองนะครับ
ตู้ไปรษณีย์ กับ ตุ๊กตานายสถานี ก็ทำซะน่ารักเลย พบได้ทุกสถานีแน่นอน ผมการันตี อิอิ
สมกันเป็นเมืองแห่งอาร์ต อะไรก็ทำได้น่ารักไปหมด
มีมุมร้านค้าเก่าแก่ ที่ยังคงอนุรักษ์กันอยู่ แต่ก็มีการซ่อมแซมดัดแปลงให้แข็งแรงตามยุคสมัย ซึ่งยังไม่ทิ้งบรรยากาศรูปทรงเก่าๆ อยู่ให้เห็นพอสมควร
นี่ก็เป็นอาคารที่เกี่ยวกับการทำเหมืองเหมือนกันครับ แต่ตอนนี้ด้านบนจะดัดแปลงเป็นร้านค้าแล้วล่ะครับ
ร้านค้าที่นิยมใช้ไม้เลื้อย ก็มี แต่สงสัยอากาศยังหนาวอยู่ มันเลยไม่เขียวเท่าไร หุๆ
สะพานนี้ มีชื่อว่า Lover Bridge แน่นอนครับ ต้องมีคนเอากระบอกไม้ไผ่มาแขวนสองฝั่งราวสะพาน
เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามครับ ขอแขวนเป็นที่ระลึก 1 กระบอก อิอิ เรามาเยือนล่ะนะ
สัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นสถานที่ทำเหมืองมาก่อน
อีกหนึ่งไฮไลท์ของที่สถานีนี้ครับ คือ จอ LED ขนาดใหญ่ที่สถานีตำรวจนี้แหละครับ จะมีการแสดงภาพแสงสีเสียงผ่านจอ LED ยักษ์นี้ ต้องขอย้ำว่าเป็นสถานีตำรวจ 55
เวลาแสดงผมไม่แน่ใจต้องไปดูอีกทีครับ แต่ที่มันสุดยอดคือ การเป็นสถานีตำรวจแต่ก็ยังสามารถใช้โปรโมทท่องเที่ยวได้ด้วย แหม่ ช่างคิดจริงๆ มีห้องน้ำห้องท่าบริการนักท่องเที่ยวด้วยนะครับ ที่นี่ เข้าถึงประชาชนจริงๆ ชอบไอเดียนี้มากๆ ครับ
และแล้วหลังจากเดินมาสักพัก ก็เจอของที่ต้องลองหน่อย ซาลาเปาราดชีส ครับ ข้างในไส้หมูแหละครับ แต่ข้างนอกนี่มันราดชีสมาเลย เหอๆ แปลกตรงชีสนี่แหละครับ ก็อร่อยดี ลองดูได้ครับ
รถมารับแล้ว อิอิ คนละขบวนกับที่มานะครับ ดูจากลายรถ ก็เดินเล่นประมาณชั่วโมงนึง รถก็มาครับ เราก็นั่งรถกลับลงมาไล่ตามสถานี
ขากลับตอนแรกว่าจะแวะที่ Pingxi Station แต่มันมีฝนหน่อยๆ ประกอบกับถ้าลงก็ต้องเดินอีก ชั่วโมงนึง เพื่อรอรถคันถัดไป เราเลยเลือกที่จะไปลงที่ Shifen Station เลยครับ เพราะจะเดินไปดูน้ำตก ไนแองการา แห่งไต้หวันกันหน่อย
สถานีนี้เป็นสถานีใหญ่ครับ อาจจะเพราะมีที่เที่ยวเยอะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาแวะที่นี่กันหมด มีแท๊กซี่มาจอดกันเพียบ ตอนที่ไปก็กำลังปรับปรุง ซ่อมแซมกันอยู่ สงสัยเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวนี่แหละครับ
เจอนายสถานีอีกแล้ว อิอิ มีตู้ไปรษณีย์ด้วย แต่คราวนี้สีแดงแฮะ ที่สำคัญยังคงมีกระบอกไม้ไผ่แขวนอยู่เช่นเดิมครับ
ลงรถไฟมาก็เจอร้านนี้เลย คนต่อคิวยาวมาก สาวๆ ด้วย เลยต้องส่งสาวของเราไปต่อคิวบ้างละ อิอิ เป็นปีกไก่ยัดไส้ครับ แล้วก็มีผงโรยตามสูตร จะเอาแบบไหนเลือกได้ คนไทยก็ต้องขอสไปซี่ ล่ะนะ 55
ที่สถานีนี้ ของกินเพียบครับ หลากหลายมาก ที่ลงมานี่แค่ส่วนหนึ่งนะครับ มีของกิน ของฝาก เยอะทีเดียว
อีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่คือปล่อยโคมครับ ร้านเยอะมาก มีบริการถ่ายรูปให้ด้วย มีพร็อพมีไรเพียบ เลือกได้ตามใจชอบ วันที่เราไป นักท่องเที่ยวเกาหลีเยอะมากครับ สงสัยมากันเป็นกรุ๊ป สาวๆ เพียบ ใครชอบบรรยากาศไปได้นะครับ อิอิ
อีกหนึ่งมุมถ่ายรูป สะพานแขวนข้ามแม่น้ำ ที่ค่อนข้างสูงทีเดียว เป็นสะพานคนเดินครับ อยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟเลย
ฝนตกๆ ก็สู้นะเรา
จากสะพานแขวน เราก็เดินไปอีกหนึ่งไฮไลท์ ของสถานีนี้ นั่นก็คือ น้ำตกไนแองการาไต้หวันครับ หรือ Shifen Waterfall
ต้องขอบอกว่าไม่ได้ใกล้ๆ เลยนะครับ เดินพอสมควรเลย ประมาณกิโลกว่าๆ มั้งครับ เกือบสองกิโล ขึ้นบันไดด้วยอีกต่างหาก ใครที่พาคุณพ่อคุณแม่ที่เดินไม่ค่อยไหว แนะนำให้เรียกแท๊กซี่ได้ครับ รู้สึกจะร้อยกว่าบาท แต่ผมว่ามันคุ้มนะ เดินไม่ไหวแน่ๆ
ถึงแล้วครับ 55 ไม่ใช่ครับ นี่แค่ครึ่งทางเท่านั้น นี่คือน้ำตกระหว่างทาง (ตั้งเอง เหนื่อยละนะ)
เจอสะพานแขวนอีกแล้ว ที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งนี่ ตั้งใจทำมากนะครับ
ขวาสะพานแขวนคนเดิน ซ้ายสะพานรถไฟ ถ้ามีรถไฟวิ่งมานี่จะสวยมากเลยครับ อิอิ (ยังไม่ถึงที่หมาย เดินมาไกลละนะ)
ในที่สุด ก็ถึงจนได้ สวยงามตามท้องเรื่อง สวยมากครับ ต้องไปเห็นด้วยตา บริเวณน้ำตกก็จะมีร้านค้า ร้านอาหารกาแฟ ให้นั่งพักนั่งกินกัน มีห้องน้ำ สะดวกสบาย มีมุมให้ถ่ายภาพด้วย ถ้ามาบรรยากาศดีๆ ฝนไม่ตกเราอาจจะได้ภาพมากกว่านี้นะครับ ไว้โอกาสหน้าค่อยหาเวลามาใหม่
เมื่อจบจากน้ำตก แผนต่อไปคือเราจะนั่งรถไฟกลับไปที่ Ruifang แล้วต่อรถบัสไปยัง Jiufen ครับ แต่ด้วยความที่ฝนตก ประกอบกับเดินมาไกลมาก เริ่มเหนื่อย และพึ่งเห็นรถไฟวิ่งไปสักแปปนึง ต้องรออีกชั่วโมงเหรอเนี่ย เหอๆ เลยตัดสินใจถามราคาแท๊กซี่เลยครับ
คือ แท๊กซี่แถวนั้นเค้ามีป้ายบอกอยู่แล้วนะครับว่าไปไหนราคาเท่าไร แต่ต้องครบคนครับ เราจะไป Jiufen คิดคนละ 250 ต้องครบ 4 คนถึงไป ถ้าไม่ครบก็เหมา 800 มั้งครับถ้าจำไม่ผิด ให้เหมาเราก็ไม่ไป คนขับก็ใจดีวิทยุถามกันว่ามีใครไปอีกมั้ย ขาด 2 คน นั่งรอในรถสักพักหนึ่งก็ได้ผู้โดยสารอีก 2 คนที่สะพานแขวนข้างสถานีรถไฟพอดี เป็นคนฮ่องกง สบายไปเรา
คนขับก็คุยกับคนฮ่องกงไปเพราะพูดจีนได้ ไอ้เราก็นั่งฟังไป 55 คนขับมีเปิดคลิปโปรโมทให้ดูด้วย ว่าเค้าพาไปเที่ยวไหนได้บ้าง โอยย ไฮเทคมากๆ ผิดกับบ้านเราลิปลับ หุๆ
สุดท้ายถึง Jiufen แน่นอนครับ พร้อมสายฝน เซ็งมากก รอบที่แล้วก็ฝน รอบนี้ก็ฝนอีกแว้ว ... เอาวะมาถึงแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไปครับ
มาถึงก็มุ่งหน้าพิกัดนี้ก่อนเลยครับ จากจุดที่แท๊กซี่จอดให้ลงตรงสถานีตำรวจ แล้วก็เดินขึ้นบันไดมาตามทาง เดินขึ้นมาเรื่อยๆ เลยครับ บันไดค่อนข้างชันอยู่ สูงเอาการ ก็จะเจอมุมยอดฮิต ติดอันดับของที่นี่ ร้านน้ำชาร้านนี้แหละครับ
ฝนตกก็สู้นะ พร้อมๆ รอบที่แล้วที่มาไม่ได้มาถ่ายครับ เพราะไม่สะดวกพาคุณแม่ที่เดินไม่สะดวกต้องนั่งรถเข็มมาก็เลยไม่ได้เดินมาจุดนี้กัน คราวนี้ยังไงก็ต้องได้สักภาพแหละ อิอิ
คนมายืนถ่ายภาพกันเยอะมากครับ ขนาดฝนตกๆ ถ่ายภาพเสร็จเราตั้งใจจะเข้าไปหาอะไรกินในร้านโคมแดงนี้สักหน่อย ปรากฎว่าเป็นช่วงพักของร้าน ไม่มีบริการอาหาร มีแต่น้ำชาเท่านั้น ก็เลยมาทานร้านฝั่งตรงข้ามแทน ก็หน้าร้านที่ยืนถ่ายรูปกันนี่แหละครับ
ทีแรกเราจะสั่งอาหารร้านนี้ก็ไม่ยังไม่บริการเหมือนกัน เป็นช่วงพัก มีอีกทีห้าโมงเย็น เหอๆ แต่ยังดียังมีอาหารชุดให้ มีให้เลือก 4 แบบเท่านั้น เวลานี้ได้ทั้งนั้น ขอพักให้หายเปียกและหาไรอุ่นๆ ทานสักหน่อย เลือกมา 1 ชุดได้หน้าตาตามรูปเลยครับ 1 ชุดมีข้าวให้ 1 จาน เราสั่งข้าวเปล่าเพิ่มอีก 1 จาน สั่งกันอยู่พักนึงกว่าจะได้ข้าวเปล่าเพิ่ม 55
สั่งน้ำชาหอมๆ ร้อนๆ มาซดสักกานึง อากาศหนาวมาก ข้างนอกฝนก็ตก เย็นยะเยือกเลยครับ หุๆ
ที่นี่จริงๆ จะบริการชาแบบจัดเต็มด้วยนะครับ มีนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่มๆ มาทานชาแบบเป็นชุดๆ กัน เห็นแล้วอลังการมาก มีชา มีขนมให้ด้วย แต่เรามาน้อยก็คงไม่ไหว หุๆ
อิ่มแล้ว ก็จะได้วิวจากร้านนี้ด้วยนะครับ ร้านมี 3 ชั้น เลยได้มุมสูงมาด้วย ดีจุง
จะเห็นว่ามีแต่หมอกปกคลุมไปทั่วเลย
เมืองในสายหมอกรึเปล่านี่ หุๆ
เดินเล่นตามถนน หาของทานเล่นอีกนิดหน่อยครับ
อากาศหนาวๆ กับเสี่ยวหลงเปาร้อนๆ น่าโดนมากครับ
บัวลอยน้ำขิงร้อนๆ สดชื่น อุ่นท้อง
ขนมเทียน ที่ไส้เยอะมาก แนะนำไส้เค็มนะครับ ใครไม่ชอบผักระวังอย่าเผลอไปชี้ไส้ผักนะครับ ผมว่าไม่ค่อยหรอย อิอิ
ก็เก็บภาพพอหอมปากหอมคอ เพราะคราวที่แล้วมาแล้วรอบนึง ฝนตกด้วย กล้องเปียกหมดแว้ว 55
ขากลับจาก Jiufen ทีแรกกะนั่งรถเข้าไทเปเลย แต่ขอโทษครับ คนแน่น คิวยาวมาก เราก็เลยนั่งรถไปลงที่ จีหลง (Keelung) แทน คนน้อยกว่าเยอะครับ ได้นั่งด้วย สบายเลย รถไม่ค่อยแน่น ใช้อีซี่การ์ดแตะได้สบายมาก รถไปจีหลงมีหลายสายนะครับ ลองอ่านป้ายดู มีภาษาอังกฤษบอก
ถึงเมืองจีหลง กะจะเดินตลาดสักหน่อย ไม่ได้เรื่องละครับ ฝนกระหน่ำมาก เลยนั่งรถกลับไทเปดีกว่า จำได้ว่ารถไฟ TRA จะผ่านสถานี Songshan สายสีเขียว และมีตลาด Raohe Night Market อยู่ รอบที่แล้วกลับจากจิ่วเฟิ่น พี่แท๊กซี่แบบเหมาก็พามาลงที่นี่แหละครับ หาอะไรทานเล่นอีกหน่อยดีกว่า อิอิ
ลองหมูบาร์บีคิว เจ้านี้หน่อย คือดูสีสันมันน่ากินมากนะครับ รสชาติก็ดีนะครับ เสียอย่างเดียวใส่ต้นหอมเป็นไส้เยอะไปหน่อย คือ เคี้ยวต้นหอมเหนื่อยเลย คำหลังๆ เลยไม่กินต้นหอมละ 555
และแล้วเที่ยวนี้ เราก็ได้ลองจนได้ เต้าหู้เหม็น 55 ขอลองสักครั้ง หลังจากผจญกลิ่นมานานละ โอวว ผิดคาดครับพอกินแล้วกลิ่นน้อยลง เจ้านี้ทำดีครับผมว่า รสชาติดีทีเดียว แบบนี้รอบหน้าพอซ้ำได้ครับ อิอิ
อันนี้กินเพราะสงสัย 55 อยากรู้คืออะไร สุดท้ายคือ เหมือนเนื้อไก่ไม่มีกระดูก ปิ้ง แล้วแน่นอน โรยผงๆ เลือกเอาเลยครับมีหลากหลายมาก
ปิดท้ายวันที่ 2 ด้วย สะพาน Lover Bridge ที่ตลาดแห่งนี้ พอดีกล้องแบตหมด ได้ภาพจากมือถือมาแค่นี้แหละครับ มีคู่รักมาเดินเล่นนั่งเล่นริมน้ำพอสมควรครับ แต่ผมว่ามันมืดไปนิดนึง ก็เลยถ่ายภาพลำบาก
จบวันที่ 2 แค่นี้ละครับ บล็อกหน้าก็จะเป็นวันที่ 3 ของทริปนี้แล้วล่ะครับ เราจะไปไหนบ้างติดตามชมกันครับ ...
ขอบคุณมากครับ ที่ติดตามกัน สวัสดีครับ ...
*****************************************************************************
กินที่เราอยากกิน เที่ยวที่เราอยากไป ขอให้มีความสุขกับทุกทริปกันนะจ๊ะ
#คู่เลิฟตะลอนกิน
Facebook : คู่เลิฟตะลอนกิน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น